วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

แก้วที่ไม่เคยพอ




เรามักถูกสอนให้มองด้านดีว่า แก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วนั้น มีน้ำเหลือตั้งครึ่งแก้ว มากกว่าที่จะมองว่าน้ำหายไปครึ่งแก้ว แต่จะมองด้านไหนก็ตาม ก็ทำให้เราคิดว่าแก้วยังขาด พร่อง ยังต้องหาน้ำมาเติมให้เต็ม
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราจะรู้สึกว่า เรายังมีไม่พอ ต้องมีนั่น มีนี่ เสียก่อน แล้วเราจะอิ่ม จะเต็ม สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยถูกสอนก็คือ ไม่ว่าเราจะพัฒนาความสามารถ ในการหาเงิน หาของ หาความรัก ให้ได้มากสักเท่าไหร่ก็ตาม น้ำในแก้วก็ไม่มีวันเต็ม เพราะความอยากในใจเราไม่เคยหยุด แก้วของเราก็จะโตขึ้น ไปเรื่อยๆ ไม่เคยพอ
เมื่อก่อนที่เราคิดว่า ถ้าเรามีเงินล้าน เราจะมีความสุข พอเรามีเข้าจริงๆปริมาณความต้องการ มาตรฐานการครองชีพ ความเป็นอยู่ของเราก็โตรุดหน้าไป จนเราต้องหาเพิ่มตลอดเวลา ซึ่งอย่าว่าแต่คนมีเงิน 10 ล้าน 100 ล้าน ขนาดคนที่มีเป็นหมื่นล้าน ยังหาเงินอย่างไม่รู้จักอิ่มรู้จักพอ รวมทั้งคนที่เรารักหนักหนา ยากลำบากกว่าจะได้มา พออยู่กันไปนาน ๆ ใจเราก็เรียกร้อง มากขึ้นๆ เห็นจุดอ่อนข้อบกพร่อง ไม่อิ่ม ไม่เต็มได้ตลอดเวลา แก้วน้ำหรือความอยากในใจเรา ไม่เคยหยุดโต หาเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม
เคล็ดลับของความสุขก็คือ เราพยายามอย่างเต็มที่ในการหาเงิน หาความรัก เหมือนหาน้ำมาใส่แก้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับขนาดของแก้วให้พอดีกับน้ำ ให้ใจเราสามารถที่จะมีความสุขสงบพอใจกับขณะนี้ เดี๋ยวนี้ โดยไม่ต้องรออนาคต ถ้าเรามีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แต่เราสามารถลดขนาดของแก้วน้ำลง จนเหลือเพียง 1 ใน 4 น้ำที่มีครึ่งแก้ว ก็จะล้นมีเกินอยู่อีกเท่าตัว มีเกินพอสำหรับเรา และ พอที่จะแบ่งให้คนอื่นเมื่อเราเต็ม เราก็ไม่ต้องไปวิ่งหาน้ำมาเติมอีก มีเวลาเหลือเฟือให้คนที่เรารัก ให้กับสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเราอย่างแท้จริง
การลดขนาดของแก้วน้ำก็คือ การที่เราหมั่นตามรู้ ตามดูจิตใจ ความรู้สึก ความคิดของเราแต่ละขณะที่เรารู้ทันใจเราที่อยากได้ อยากให้คนอื่นคิดให้ถูกใจเราทุกขณะที่เรารู้ทัน ความอยากจะทำงานไม่ได้ เราก็ได้ลดขนาดของแก้วลงทุกขณะ ที่เรามีความรู้สึกตัว ชีวิตเราก็จะเป็นแก้วที่อิ่มเต็มพอดี พอเพียงมีความสุขมั่นคง

10 วิธีเลิกเหล้า




1. ตั้งใจจริง การเลิกเหล้าไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ามีความตั้งใจความสำเร็จย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม

2. ตั้งเป้าว่าจะเลิกเหล้าเพื่อใคร เพราะเหตุใด เช่น เพื่อพ่อแม่…เพราะการดื่มเหล้าของเราทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจเพื่อตัวเอง… จะได้มีสุขภาพดีแถมมีเงินเก็บมากขึ้น เพื่อลูกและครอบครัว…เพราะเหล้า เข้าปากทีไร เป็นต้องทะเลาะกันทุกที ถ้าเลิกเหล้าก็คงทะเลาะกันน้อยลงครอบครัวจะได้มีความสุข มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น…เป็นต้น

3. หยุดทันที! คนที่มีแนวคิดว่าเพียงแค่ดื่มเพื่อความสนุกสนานหรือต้องการเข้าสังคม เมื่อตั้งใจที่จะเลิกเหล้า ก็ต้องพยายามหักห้ามใจ และหยุดดื่มทันที
4. ปรับเปลี่ยนนิสัยการดื่ม สำหรับคนที่เคยดื่มเหล้าเป็นประจำอาจเลิกทันทีได้ยาก ให้ลองใช้วิธีดังต่อไปนี้ ซึ่งอาจช่วยให้ดื่มเหล้าน้อยลงได้ เช่น ดื่ม เหล้าพร้อมกับการรับประทานอาหาร หรือ หมั่นดื่มน้ำเปล่าควบคู่ไปด้วยระหว่างการดื่มเหล้า เปลี่ยนขนาดของแก้ว จากแก้วใหญ่เป็นแก้วเล็กดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำกว่าทดแทนไปก่อนใน ระยะแรก.
5. ตั้งเป้าว่าจะลดปริมาณการดื่ม เช่น จากที่เคยดื่มวันละ 8แก้ว ก็อาจจะลดปริมาณการดื่มลงไปเรื่อยๆ จนเหลือวันละ 1แก้ว และไม่ดื่มเลยแม้แต่แก้วเดียวในที่สุด
6.หลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ความเสี่ยงในที่นี้คือ สถานการณ์หรือสถานที่ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เราดื่มเหล้าได้ง่ายขึ้น ได้แก่ ช่วงเวลาหลังเลิกงาน วันเงินเดือนออก วาระหรือโอกาสพิเศษต่างๆ การไปเที่ยวผับหรือร้านอาหาร สถานบันเทิง การชักชวนจากกลุ่มเพื่อนที่ดื่มจัด รวมถึงสาเหตุต่างๆ ที่นำไปสู่อาการเหน็ดเหนื่อย ทดท้อ เหงา เศร้า เครียด ฯลฯ

7. เมื่อมีเวลาว่าง ให้ทำกิจกรรมอื่นที่สร้างสรรค์แทนการดื่มสังสรรค์ ทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพหลังเลิกงาน เช่น ออกกำลังกาย – เล่นกีฬาฉลองวาระพิเศษต่างๆ ด้วยแนวปฏิบัติแบบใหม่ เช่น ไปทำบุญแทนการดื่มเมื่อรู้สึกเหงา เศร้าหรือเครียด ให้หากิจกรรมสร้างสรรค์และจรรโลงจิตใจทำทันที อาทิ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ชมภาพยนตร์ ตลอดจน เล่นกีฬา ฯลฯ

8. ฝึกปฏิเสธให้เด็ดขาด เช่น ถ้าเพื่อนคะยั้นคะยอให้ดื่ม ให้บอกเค้าไปว่า ” หมอห้ามดื่ม , ไม่ว่างต้องไปทำธุระ ฯลฯ…”

9. หาที่พึ่งทางใจรวมถึงหากำลังใจจากคนรอบข้าง เช่น พ่อแม่ คนรัก ลูก หรือเพื่อนสนิท ที่สามารถปรึกษาหารือให้คำแนะนำดีๆ แก่เราได้ และพร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อเราต้องการ นอกจากนี้การพูดคุยหรืออ่านประสบการณ์ของคนที่เลิกเหล้าสำเร็จ ก่อนจะพบกับความสวยงามของชีวิตย่อมช่วยสร้างกำลังใจให้กับเราได้มากอย่างที เดียว

10.ปรึกษาหน่วยงานช่วยเหลือ หากไม่สามารถเลิกเหล้าด้วยตัวเองควรปรึกษาหน่วยงานช่วยเหลือดังต่อไปนี้

สายด่วนยาเสพติด สถานธัญรักษ์ กรมการแพทย์ โทร: 1165

สายด่วนเลิกเหล้า ศูนย์ปรึกษาปัญหาสุรา โทร: 1413

โรงพยาบาลและสำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

น้ำ มากเกินไปก็ไม่ดี




ก่อนหน้านี้เรามักจะได้ยินคำแนะนำที่ว่า "การดื่มน้ำมาก ๆ นั้นดีต่อร่างกาย" แต่ดูเหมือนว่าคำแนะนำนี้จะค่อนข้างใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


ทั้งนี้เนื่องจากว่าในระยะหลังมานี้มีข้อโต้แย้งคำแนะนำดังกล่าวนี้มากขึ้น โดยดร.สแตนลีย์ โกลด์ฟาร์บ และดร.แดน เนกัวนู จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ ได้ตรวจสอบเอกสารทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำปริมาณมากในแต่ละวัน
ทั้งคู่ พบว่า คนที่อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงนักกีฬาอาจต้องการน้ำมากกว่าคนอื่นขณะที่คนที่ป่วยเป็นโรคบางโรคควรดื่มน้ำมากๆ แต่สำหรับคนปกติ การกระทำดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแต่อย่างใด 
นอกจากนี้นักเคมีบำบัดของเยอรมันยังกล่าวว่า การดื่มน้ำที่มากเกินไปนั้นก็เป็นอันตรายเช่นกัน เช่นในหมู่นักกีฬาที่ดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะทำให้โซเดียมในร่างกายลดลง แถมการดื่มน้ำมากเกินไปก็ยิ่งทำให้เกิดการกระหายน้ำมากขึ้นด้วย


แต่ทั้งนี้การดื่มน้ำน้อยเกินไปก็ไม่เป็นผลดี เพราะอาจจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้ด้วย เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี ๆ คือ 6 - 8 แก้ว (ประมาณ 1.2 ลิตร) จะดีกว่าค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับยืดอายุทรงผม

ทรงผม

ยืดอายุทรงผม (Lisa) 

         ถ้าคุณอยากให้ทรงผมที่เพิ่งตัดมาใหม่ ๆ ดูสวยอย่างนี้ไปได้นานขึ้นล่ะก็ ลองทำตามเคล็ดลับของเรานี้

         หลังจากตัดผมแล้ว ก็ดูแลปลายผมให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ โดยใช้คอนดิชันเนอร์แบบไม่ต้องล้างออก ถ้าวันไหนที่เส้นผมดูชี้ฟู ก็ทาน้ำมันที่ช่วยเพิ่มความเงางามลงไปเล็กน้อย


         เมื่อผมแตกปลายเริ่มปรากฎให้เห็น หลังจากตัดผมมาแล้วห้าหรือหกสัปดาห์ ก็ลองทำทรีทเม้นท์เพิ่มความเงางาม โดยซื้อผลิตภัณฑ์มาทำเอง ซึ่งจะช่วยปิดผมแตกปลายและเพิ่มความเงางาม


         ถ้าคุณมีผมม้าก็จัดการเล็มซะ โดยหวีผมให้เรียบลงมา (ในขณะที่เส้นผมยังแห้งอยู่) แล้วถือกรรไกรให้ปลายชี้ขึ้นเล็กน้อย แล้วเล็มเส้นผมออกทีละนิด อย่าถือกรรไกรตัดในแนวขนาน เพราะการทำอย่างนั้นมักจะทำให้ต้องตัดเส้นผมออกไปมากเกิน

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

5 วิธีคิดให้ชีวิตไม่เครียด




  1. ทำใจให้เป็นสุข เราจะสุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ความคิดของเราเป็นตัวกำหนด ถ้าเราตื่นเช้าขึ้นมาและบอกกับตัวเองในทุก ๆ เช้าว่า วันนี้เป็นวันดี ๆ อีกวันหนึ่ง ขอบคุณที่เรายังหายใจ ขอบคุณที่เรายังเดินได้ และยังมีแรงทำงาน ลุกจากที่นอนแล้วบอกตัวเราในกระจกว่า วันนี้จะเป็นวันที่ดี วันที่สดใสของเรา บอกกับ ตัวเองอย่างนี้ทั้งวัน จนเราเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง และให้มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ความสุขจะเกิดขึ้นที่ใจของเราเอง ซึ่งทำให้เราทำงานด้วยความสุขตลอด ทั้งวัน แม้ว่าจะเจออุปสรรคปัญหานานาประการ แต่เราจะผ่านพ้นไปได้ด้วยทัศนคติดี ๆ ที่เรามี ช่วยเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีด้วยตัวของเรา และใจของเราเอง
  2. เติมเสียงหัวเราะในทุกสถานการณ์ ถึงแม้บางคราวเรารู้สึกว่ายากเหลือเกินที่จะทำใจให้สนุก นั่นเป็นเพราะเราเคร่งเครียดและจริงจังมากเกินไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องปลดปล่อยมันออกมา ยารักษาความเครียดที่ดีที่สุดคือเสียงหัวเราะ การมองเรื่องแย่ ๆ ในแง่บวก ยิ้มและหัวเราะให้กับเรื่องที่เราเจอ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองติดอยู่กับความทุกข์ จะช่วยให้เราผ่อนคลาย และรู้สึกดีขึ้น
  3. ใช้เวลากับสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ การยึดติดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์มาก ๆ ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเราตามไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก เปลี่ยนความหม่นหมองเป็นพลังผลักดันในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดประโยชน์จะดีกว่า ไม่เพียงแต่เราจะสามารถลดความวิตกกังวลได้แล้ว ยังช่วยให้เรารู้สึกดีกับความสำเร็จในครั้งใหม่อีกด้วย
  4. หยุดพักความคิด ถ้าเรารู้สึกว่า เราชักจะจมอยู่กับความผิดหวังความท้อแท้ ดิ่งลึกลงไปทุกทีแล้วล่ะก็ ควรจะหยุดพักความคิดสัก
    10 นาที หรือ 1 ชั่วโมง แล้วหันไปทำอย่างอื่นเพื่อดึงตัวเองให้หลุดออกจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เราเกิดทัศนคติทางลบ เมื่อเราถอยออกมาจากเหตุการณ์นั้น ถอยออกมาเพื่อมองย้อนกลับเข้าไปใหม่ เราอาจเห็นทางออกของปัญหาที่รุมเร้าก็เป็นได้
  5. เตือนตัวเองด้วยข้อความให้กำลังใจ บนโต๊ะทำงานนอกจากเอกสารกองโตแล้ว อาจจะหากระปุกลูกอมบรรจุกระดาษม้วน ๆ ข้างในเป็นข้อความแทนความ รู้สึกดี ๆ จากครอบครัว จากเพื่อน หรืออาจเป็นข้อความจากที่อื่นที่เราประทับมาใส่ไว้ เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกท้อแท้กับวันแย่ ๆ ให้หยิบข้อความขึ้นมาอ่าน ความรู้สึกดี ๆ จะถูกดูดซึมผ่านเข้าสู่จิตใจของเรา และทำให้เรามีรอยยิ้ม และมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
จำไว้อย่างหนึ่งว่าไม่มีใครสามารถกำหนดทัศนคติของเราได้ ตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นคนทำให้ทุกอย่างดีขึ้นหรือแย่ลง ดังนั้นคิดบวกเอาไว้ดีกว่า เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกแย่ ลองเปลี่ยนวิธีคิดแล้วชีวิตจะดีขึ้นเอง

ประจำเดือนขาด ทำให้เกิดสิวได้ไหม



สาเหตุของประจำเดือนไม่มา (amenorrhea) ซึ่งพบในคนที่ตั้งครรภ์และคนที่หมดประจำเดือนไปแล้ว และยังพบบ่อยในนักกีฬา นักเต้นรำ นางแบบที่ผอมมาก ๆ มีไขมันต่ำ ทำให้มีการผลิตฮอร์โมนเพศไม่พอเพียง ทั้งนี้ ถ้าประจำเดือนไม่มามากกว่า 2 เดือน หรือมาไม่สม่ำเสมอ หรือมามากเกินไป ก็ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง

         ส่วนการมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอทำให้เกิดสิวหรือไม่นั้น จากงานวิจัยของนายแพทย์คันลิฟฟ์ (Dr.Cunliffe) แห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้แต่งตำราเรื่อง Acne (โรคสิว) 
ระบุว่าการเกิดโรคสิวในผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาปกติ มาผิดปกติ ผู้หญิงที่มีขนดก ล้วนเท่า ๆ กัน คือประจำเดือนที่ผิดปกติไม่น่าจะเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
        
อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้ป่วยหญิงที่เป็นสิวอยู่แล้ว 2 ใน 3 จะมีสิวเพิ่มจำนวนขึ้น และมีสิวอักเสบเป็นหนอง ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน เพราะว่าก่อนมีประจำเดือนมีการคั่งของน้ำในร่างกาย รูเปิดของขุมขนเล็กลง การไหลของไขมันในท่อต่อมไขมันเป็นไปไม่ได้ดี จึงเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบตามมา

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

6 วิธีเขียนขอบตาให้สวย



6 วิธีเขียนขอบตาให้สวย

นี่คือเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยให้คุณเขียนขอบตาด้วยดินสอได้สวยกว่าใคร

  1. จุดไข่ปลา เริ่มจากการใช้ดินสอเขียนตาแต้มเป็นจุดๆบริเวณขอบตาบน โดยเริ่มจากหัวตาเรื่อยไปจนถึงหางตา แล้วใช้นิ้วมือ ก้านสำลี หรือปลายพู่กันลูบให้กลายเป็นเส้นเดียวกัน ถ้าอยากเพิ่มความหนาก็ใช้ดินสอเขียนทับลงไปอีกได้
  2. ชิดขนตา กลเม็ดสำคัญคือการเขียนให้ชิดกับแนวขนตาให้มาก ที่สุดเท่าที่จะมากได้ วิธีนี้นอกจากจะทำให้ขนตาดูดกหนาขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ดวงตาดูโดดเด่นขึ้นด้วย โดยเขียนบริเวณหัวตาให้เป็นเส้นบางๆ แล้วค่อยเพิ่มความหนาจากกึ่งกลางดวงตาจนถึงหางตา
  3. เกลี่ยให้ดี ผู้หญิงหลายคนมักไม่ชอบเกลี่ยเส้นขอบตา จึงมักทำให้เส้นขอบตาดูแข็งๆมันๆ เหมือนเอาสีเทียนมาเขียนตา ฉะนั้นก็ใช้ก้านสำลีหรือปลายพู่กันเกลี่ยให้ดูนุ่มนวลซะ
  4. หลีกเลี่ยงสีดำสนิท ถ้าคุณไม่ได้เขียนตาไปงานกลางคืน ก็เลือกสีนุ่มๆ หน่อยดีกว่า อย่างเช่น สีน้ำตาลหรือเทา
  5. ปัดมาสคาร่า ถ้าเขียนขอบตาแล้วก็ต้องปัดมาสคาร่าทุกครั้ง เพราะจะช่วยให้ขนตาดูกลมกลืนกับเส้นขอบตาเป็นอย่างดี
  6. ขอบตาล่างอย่าให้เข้ม ซึ่งไม่ควรมีสีเข้มหรือหนากว่าเส้นขอบตาบนเด็ดขาด แค่แตะแต้มลงไปนิดๆ หน่อยๆพอให้ดูคมเข้มขึ้นเท่านั้น